1
stringlengths 13
42
⌀ | 2
stringlengths 14
40
⌀ | 3
stringlengths 14
43
| 4
stringlengths 14
40
⌀ |
---|---|---|---|
อันกรุงไกรใหญ่ยาวสิบเก้าโยชน์ | ภูเขาโขดเป็นกำแพงบุรีศรี | สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบุรีหรรษาสถาวร |
มีเอกองค์นงลักษณ์อัครราช | พระนางนาฏนามปทุมเกสร | สนมนางแสนสุรางคนิกร | ดังกินนรน่ารักลักขณา |
มีโอรสสององค์ล้วนทรงลักษณ์ | ประไพพักตร์เพียงเทพเลขา | ชื่ออภัยมณีเป็นพี่ยา | พึ่งแรกรุ่นชันษาสิบห้าปี |
อันกุมารศรีสุวรรณนั้นเป็นน้อง | เนื้อดังทองนพคุณจำรูญศรี | พึ่งโสกันต์ชันษาสิบสามปี | พระชนนีรักใคร่ดังนัยนา |
สมเด็จท้าวบิตุรงค์ดำรงราชย์ | แสนสวาทลูกน้อยเสน่หา | จะเสกสองครองสมบัติขัตติยา | แต่วิชาสิ่งใดไม่ชำนาญ |
จึงดำรัสเรียกพระโอรสราช | มาริมอาสน์แท่นสุวรรณแล้วบรรหาร | พ่อจะแจ้งเจ้าจงจำคำโบราณ | อันชายชาญเชื้อกษัตริย์ขัตติยา |
ย่อมพากเพียรเรียนไสยศาสตร์เวท | สิ่งวิเศษสืบเสาะแสวงหา | ได้ป้องกันอันตรายนครา | ตามกษัตริย์ขัตติยาอย่างโบราณ |
พระลูกรักจักสืบวงศ์กษัตริย์ | จงรีบรัดเสาะแสวงแห่งสถาน | หาทิศาปาโมกข์ชำนาญชาญ | เป็นอาจารย์พากเพียรเรียนวิชา ฯ |
บัดนั้นพี่น้องสองกษัตริย์ | ประนมหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา | จึงทูลความตามจิตเจตนา | ลูกคิดมาจะประมาณก็นานครัน |
หวังแสวงไปตำแหน่งสำนักปราชญ์ | ซึ่งรู้สาตราเวทวิเศษขยัน | ก็สมจิตเหมือนลูกคิดทุกคืนวัน | พอแสงจันทร์แจ่มฟ้าจะลาจร |
แล้วก้มกราบบิตุราชมาตุรงค์ | ทั้งสององค์ลูบหลังแล้วสั่งสอน | จะเดินทางกลางป่าพนาดร | จงผันผ่อนตรึกจำคำโบราณ |
จะพูดจาสารพัดบำหยัดยั้ง | จนลุกนั่งน้ำท่ากระยาหาร | แม้นหลับนอนผ่อนพ้นที่ภัยพาล | อดบันดาลโกรธขึ้งจึงสบาย |
พระพี่น้องสององค์ทรงสดับ | เคารพรับบังคมด้วยสมหมาย | พระเชษฐาบัญชาชวนน้องชาย | มาสรงสายสาคเรศบนเตียงรอง |
แล้วแต่งองค์สอดทรงเครื่องกษัตริย์ | เนาวรัตน์เรืองศรีไม่มีสอง | แล้วลีลามาสถิตบนแท่นทอง | จนย่ำฆ้องสุริยนสนธยา |
จึงชวนกันจรจรัลจากสถาน | ออกทวารเบื้องบูรพทิศา | ศศิธรจรแจ้งกระจ่างตา | ทั้งสองราเดินเรียงมาเคียงกัน ฯ |
ล่วงตำบลชนบทไปหลายบ้าน | เข้าดอนด่านแดนไพรพอไก่ขัน | เสียงเสือกวางกลางเนินพนมวัน | ให้หวั่นหวั่นวังเวงหวาดฤทัย |
จนแสงทองรองเรืองอร่ามฟ้า | พระสุริยาเยื้องเยี่ยมเหลี่ยมไศล | คณานกเริงร้องคะนองไพร | เสียงเรไรจักจั่นสนั่นเนิน |
ทั้งสององค์เหนื่อยอ่อนเข้าผ่อนพัก | หยุดสำนักลำเนาภูเขาเขิน | ครั้นหายเหนื่อยเมื่อยล้าอุตสาห์เดิน | พิศเพลินมิ่งไม้ในไพรวัน |
บ้างผลิดอกออกผลพวงระย้า | ปีบจำปาสุกรมนมสวรรค์ | พระอภัยมณีศรีสุวรรณ | ต่างชิงกันเก็บพลางตามทางมา |
พระพี่เก็บกาหลงส่งให้น้อง | เดินประคองเคียงกันด้วยหรรษา | พระน้องเก็บมะลุลีให้พี่ยา | ทั้งสองราเดินดมแล้วชมเชย |
เห็นมะม่วงพวงผลพึ่งสุกห่าม | ทำไม้ง่ามน้อยน้อยสอยเสวย | อร่อยหวานปานเปรียบรสนมเนย | อิ่มแล้วเลยล่วงทางมากลางดง |
ครั้นสิ้นแสงสุริยาทิพากร | สำนักนอนเนินผาป่าระหง | ทั้งสองแสนเหนื่อยยากลำบากองค์ | บาทบงสุ์บวมบอบระบมตรม |
พระเชษฐาอาลัยถึงไอศวรรย์ | กับกำนัลน้อยน้อยนางสนม | น้องคะนึงถึงพี่เลี้ยงแลนางนม | กับบรมบิตุเรศพระมารดา ฯ |
สิบห้าวันดั้นเดินในไพรสณฑ์ | ถึงตำบลบ้านหนึ่งใหญ่หนักหนา | เรียกว่าบ้านจันตคามพราหมณ์พฤฒา | มีทิศาปาโมกข์อยู่สองคน |
อาจารย์หนึ่งชำนาญในการยุทธ์ | ถึงอาวุธซัดมาดั่งห่าฝน | รำกระบองป้องกันกายสกนธ์ | รักษาตนมิให้ต้องคมศัสตรา |
อาจารย์หนึ่งชำนาญในการปี่ | ทั้งดีดสีแสนเสนาะเพราะหนักหนา | ผู้ใดฟังวังเวงในวิญญาณ์ | เคลิ้มนิทราลืมกายดังวายปราณ |
อันสองท่านราชครูนั้นอยู่ตึก | จดจารึกอักขราไว้หน้าบ้าน | เป็นข้อความตามมีวิชาการ | แสนชำนาญเลิศลบภพไตร |
แม้ผู้ใดใครจะเรียนวิชามั่ง | จงอ่านหนังสือแจ้งแถลงไข | ถ้ามีทองแสนตำลึงมาถึงใจ | จึงจะได้ศึกษาวิชาการ ฯ |
วันนั้นพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | จรจรัลเข้ามาถึงหน้าบ้าน | เห็นลิขิตปิดไว้กับใบทวาร | พระทรงอ่านแจ้งจิตในกิจจา |
อันท่านครูอยู่ตึกตำแหน่งนี้ | ฝีปากปี่เป่าเสนาะเพราะหนักหนา | จึงดำรัสตรัสแก่พระน้องยา | อันวิชาสิ่งนี้พี่ชอบใจ |
แต่เที่ยวดูเสียให้รู้ทั้งย่านบ้าน | ท่านอาจารย์ยังจะมีอยู่ที่ไหน | ตรัสพลางย่างเยื้องครรไลไป | ถึงตึกใหญ่ที่ครูอยู่สำนัก |
เห็นแผ่นผาจารึกลายลิขิต | เข้ายืนชิดอ่านดูรู้ประจักษ์ | ท่านอาจารย์การกระบองก็คล่องนัก | ได้ทองหนักแสนตำลึงจึงได้เรียน |
จึงบัญชาว่ากับพระน้องแก้ว | พ่อเห็นแล้วหรือที่ลายลิขิตเขียน | สองอาจารย์ปานดวงแก้ววิเชียร | เจ้ารักเรียนที่ท่านอาจารย์ใด |
อนุชาว่าการกลศึก | น้องนี้นึกรักมาแต่ไหนไหน | ถ้าเรียนรู้รำกระบองได้ว่องไว | จะชิงชัยข้าศึกไม่นึกเกรง |
พระเชษฐาว่าจริงแล้วเจ้าพี่ | วิชามีแล้วใครไม่ข่มเหง | แต่ใจพี่นี้รักทางนักเลง | หมายว่าเพลงดนตรีนี้ดีจริง |
ถึงการเล่นเป็นที่ประโลมโลก | ได้ดับโศกสูญหายทั้งชายหญิง | แต่ขัดสนจนจิตคิดประวิง | ด้วยทรัพย์สิ่งหนึ่งนี้ไม่มีมา ฯ |
ศรีสุวรรณปัญญาฉลาดแหลม | จึงยิ้มแย้มเยื้อนตอบพระเชษฐา | ธำมรงค์เรือนมณีมีราคา | จะคิดค่าควรแสนตำลึงทอง |
พอบูชาอาจารย์เอาต่างทรัพย์ | เห็นจะรับสอนสั่งเราทั้งสอง | อันตัวน้องนี้จะอยู่ด้วยครูกระบอง | หัดให้คล่องเชี่ยวชาญชำนาญดี |
ขอพระองค์จงเสด็จไปท้ายบ้าน | อยู่ศึกษาอาจารย์ข้างดีดสี | ครั้นเสร็จสมปรารถนาไม่ช้าที | จะตามพี่ไปหาที่อาจารย์ |
พระอภัยได้คิดถึงคำน้อง | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | เข้าหยุดยั้งสั่งเสียกันเสร็จการ | กลับไปหาอาจารย์ดังใจนึก |
ศรีสุวรรณกุมารชาญฉลาด | ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างตึก | เห็นภูมิฐานเคหาโอฬารึก | ทั้งที่ฝึกสอนสานุศิษย์มี |
มองเขม้นเห็นพราหมณ์พฤฒาเฒ่า | กระหมวดเกล้าเอนหลังนั่งเก้าอี้ | ดูรูปร่างอย่างเยี่ยงพระโยคี | กระบองสี่ศอกวางไว้ข้างกาย |
ก็แจ้งว่าอาจารย์เจ้าของตึก | เห็นสมนึกเหมือนจิตที่คิดหมาย | กระทั่งไอให้เสียงเป็นแยบคาย | แล้วก้มกายเข้าไปหาท่านอาจารย์ ฯ |
ฝ่ายพราหมณ์พรหมโบราณอาจารย์เฒ่า | เป็นพงศ์เผ่าพฤฒามหาศาล | ชำเลืองเนตรแลดูเห็นกุมาร | สีสัณฐานผุดผ่องดังทองทา |
ดูแน่งน้อยรูปร่างเหมือนอย่างหุ่น | พึ่งแรกรุ่นน่ารักเป็นนักหนา | อร่ามเรืองเครื่องประดับระยับตา | ก็รู้ว่ากษัตริย์ขัตติย์วงศ์ |
จึงขยดลดเลื่อนลงนั่งใกล้ | แล้วถามไถ่ข้อความตามประสงค์ | มีธุระอะไรในใจจง | เจ้าจึงตรงมาหาจงว่าไป ฯ |
หน่อกษัตริย์ขัตติย์วงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับเล่าแจ้งแถลงไข | พระบิดาข้าบำรุงซึ่งกรุงไกร | บัญชาให้เที่ยวหาวิชาการ |
จึงดั้นเดินเนินป่ามาถึงนี่ | พอเห็นมีอักขราอยู่หน้าบ้าน | รู้ว่าท่านพฤฒาเป็นอาจารย์ | ขอประทานพากเพียรเรียนวิชา |
แต่โปรดเกล้าคราวมาข้ายากแค้น | อันทองแสนตำลึงนั้นไม่ทันหา | ธำมรงค์เรือนมณีฉันมีมา | ตีราคาควรแสนตำลึงทอง |
แล้วถอดแหวนวงน้อยที่ก้อยขวา | ให้พฤฒาทดแทนคุณสนอง | ตาพราหมณ์เฒ่าเอาสำลีประชีรอง | ขอดประคองไว้ในผมให้สมควร |
แล้วไต่ถามนามวงศ์ถึงพงศา | สนทนาปรีดิ์เปรมเกษมสรวล | อยู่เคหาตาพราหมณ์ไม่ลามลวน | ครั้นค่ำชวนหน่อไทเข้าไสยา |
ถึงยามดึกฝึกสอนในการยุทธ์ | เพลงอาวุธดาบดั้งให้ตั้งท่า | กระบองกระบี่ถี่ถ้วนทุกวิชา | ค่อยศึกษาตั้งใจจะให้ดี ฯ |
ฝ่ายเชษฐามาถึงที่ท้ายบ้าน | ก็เข้าหาอาจารย์ที่ดีดสี | เอาธำมรงค์ทรงนิ้วดัชนี | ให้พราหมณ์ตีค่าแสนตำลึงทอง ฯ |
ฝ่ายครูเฒ่าพินทพราหมณ์รามราช | แสนสวาทรักใคร่มิได้หมอง | ให้ข้าไทใช้สอยคอยประคอง | เข้าในห้องหัดเพลงบรรเลงพิณ |
แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่ | ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น | แต่เสือช้างกลางไพรถ้าได้ยิน | ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง |
ประมาณเสร็จเจ็ดเดือนโดยวิตถาร | พระกุมารได้สมอารมณ์หวัง | สิ้นความรู้ครูประสิทธิ์ไม่ปิดบัง | จึงสอนสั่งอุปเท่ห์เป็นเล่ห์กล |
ถ้าแม้นว่าข้าศึกมันโจมจับ | จะรบรับสารพัดให้ขัดสน | เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคน | ด้วยเล่ห์กลโลกาห้าประการ |
คือรูปรสกลิ่นเสียงเคียงสัมผัส | เกิดกำหนัดลุ่มหลงในสงสาร | ให้ใจอ่อนนอนหลับดังวายปราณ | จึงคิดอ่านเอาชัยเหมือนใจจง |
แล้วให้ปี่ที่เพราะเสนาะเสียง | ยินสำเนียงถึงไหนก็ใหลหลง | อวยพรพลางทางหยิบธำมรงค์ | คืนให้องค์กุมาราแล้วว่าพลัน |
ซึ่งดนตรีตีค่าไว้ถึงแสน | เพราะหวงแหนกำชับไว้ขับขัน | ใช่ประสงค์ตรงทรัพย์สิ่งสุวรรณ | จะป้องกันมิให้ไพร่ได้วิชา |
ต่อกษัตริย์เศรษฐีที่มีทรัพย์ | มาคำนับจึงได้ดังปรารถนา | จงคืนเข้าบุรีรักษ์นครา | ให้ชื่นจิตพระบิดาแลมารดร ฯ |
หน่อกษัตริย์โสมนัสด้วยสมนึก | จดจารึกคำท่านอาจารย์สอน | พิไรร่ำอำลาด้วยอาวรณ์ | แล้วบทจรจากบ้านอาจารย์ตน ฯ |
ฝ่ายว่านฤบดีศรีสุวรรณ | ก็เข้มขันกลศึกที่ฝึกฝน | ทั้งโล่เขนเจนจัดหัดประจญ | ในการกลอาวุธสุดทำนอง |
จนหมดสิ้นความรู้ท่านครูเฒ่า | จึงเรียกเจ้าเข้านั่งสองต่อสอง | เลือกล้วนเหล็กมะลุลีตีกระบอง | ให้เป็นของคู่หัตถ์กษัตรา |
ทั้งธำมรงค์วงนั้นก็คืนให้ | แถลงไขข้อความตามปริศนา | เหมือนอาจารย์คนนั้นที่พรรณนา | แล้วพฤฒาอวยชัยไปจงดี |
หน่อกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงสดับ | น้อมคำนับปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ครรไลลาอาจารย์จรลี | ตามวิถีแถวทางถนนมา |
พอมาพบพี่ชายที่ท้ายบ้าน | สองสำราญสรวลสันต์แล้วหรรษา | ต่างเล่าความตามที่เรียนรู้วิชา | แล้วพี่พาน้องเดินดำเนินไป |
ออกจากบ้านจันตคามข้ามทิวทุ่ง | หมายตรงกรุงรัตนาเข้าป่าใหญ่ | สิบห้าวันบรรลุถึงเวียงชัย | พอท้าวไทสุทัศน์กษัตรา |
ออกแท่นทองท้องพระโรงจำรูญศรี | แสนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา | พระพี่น้องสององค์ก็ตรงมา | เฝ้าบิดาที่ท้องพระโรงชัย ฯ |
กรุงกษัตริย์สุริย์วงศ์พระทรงยศ | เห็นโอรสยินดีจะมีไหน | เรียกมานั่งข้างแท่นทองประไพ | แล้วถามไถ่ทุกข์ยากเมื่อจากวัง |
หนึ่งพี่น้องสองเสาะแสวงหา | ได้วิชาเสร็จสมอารมณ์หวัง | หรือปลอดเปล่าเล่าให้บิดาฟัง | พ่อนี้นั่งคอยท่าทุกราตรี ฯ |
พระพี่น้องสององค์ทรงสวัสดิ์ | ประสานหัตถ์น้อมประณตบทศรี | พระเชษฐาทูลแถลงแจ้งคดี | ลูกเรียนกลดนตรีชำนาญชาญ |
ศรีสุวรรณนั้นเรียนในการยุทธ์ | เพลงอาวุธเข้มแข็งกำแหงหาญ | ทั้งสองสิ่งยิ่งยวดวิชาการ | ใครจะปานเปรียบได้นั้นไม่มี ฯ |
ท้าวสุทัศน์ฟังอรรถโอรสราช | บรมนาถขัดข้องให้หมองศรี | โกรธกระทืบบาทาแล้วพาที | อย่าอวดดีเลยกูไม่พอใจฟัง |
อันดนตรีปี่พาทย์ตะโพนเพลง | เป็นนักเลงเหล่าโลนเล่นโขนหนัง | แต่พวกกูผู้หญิงที่ในวัง | มันก็ยังเรียนร่ำได้ชำนาญ |
อันวิชาอาวุธแลโล่เขน | ชอบแต่เกณฑ์ศึกเสือเชื้อทหาร | เป็นกษัตริย์จักรพรรดิพิสดาร | มาเรียนการเช่นนั้นด้วยอันใด |
ลูกกาลีมีแต่จะขายหน้า | ช่างชั่วช้าทุจริตผิดวิสัย | จะให้อยู่เวียงวังก็จังไร | ชอบมาไสคอส่งเสียจากเมือง |
ไปเที่ยวเล่นเป็นปีแล้วมิสา | มาพูดจาให้กูคันหูเหือง | พระพิโรธโกรธตรัสด้วยขัดเคือง | แล้วย่างเยื้องจากบัลลังก์เข้าวังใน ฯ |
แสนสงสารพี่น้องสองกษัตริย์ | บิดาตรัสโกรธาไม่ปราศรัย | อัปยศอดสูเสนาใน | ทั้งน้อยใจผินหน้าปรึกษากัน |
พระเชษฐาว่าโอ้พ่อเพื่อนยาก | สู้ลำบากบุกป่าพนาสัณฑ์ | มาถึงวังยังไม่ถึงสักครึ่งวัน | ยังไม่ทันทดลองทั้งสองคน |
พระกริ้วกราดคาดโทษว่าโฉดเขลา | พี่กับเจ้านี้ก็เห็นไม่เป็นผล | อยู่ก็อายไพร่ฟ้าประชาชน | ผิดก็ด้นดั้นไปในไพรวัน |
แล้วสวมสอดกอดน้องประคองหัตถ์ | สองกษัตริย์โศกทรงกันแสงศัลย์ | พระอภัยมณีศรีสุวรรณ | ก็พากันซวนซบสลบไป |
ฝ่ายมหาเสนาพฤฒามาตย์ | เห็นหน่อนาถนิ่งแน่เข้าแก้ไข | ทั้งสองตื่นฟื้นกายระกำใจ | ชลนัยน์แนวนองทั้งสององค์ ฯ |
พระเชษฐาว่ากรรมแล้วน้องเอ๋ย | อย่าอยู่เลยเรามาไปไพรระหง | มิทันสั่งอำมาตย์ญาติวงศ์ | ทั้งสององค์ออกจากจังหวัดวัง |
พระพี่ชายชวนเดินดำเนินหน้า | อนุชาโฉมงามมาตามหลัง | พระออกนอกนคราเข้าป่ารัง | ครั้นเหนื่อยนั่งสนทนาปรึกษากัน |
อันตัวเราพี่น้องทั้งสองนี้ | ไม่มีที่พึ่งใครในไพรสัณฑ์ | ทั้งโภชนาอาหารกันดารครัน | ยังนับวันก็แต่กายจะวายปราณ ฯ |
พระอนุชาว่าพี่นี้ขี้ขลาด | เป็นชายชาติช้างงาไม่กล้าหาญ | แม้นชีวันยังไม่บรรลัยลาญ | ก็เซซานซอกซอนสัญจรไป |
เผื่อพบพานบ้านเมืองที่ไหนมั่ง | พอประทังกายาอยู่อาศัย | มีความรู้อยู่กับตัวกลัวอะไร | ชีวิตไม่ปลดปลงคงได้ดี ฯ |
พระเชษฐาว่าจริงแล้วน้องรัก | เจ้าแหลมหลักตักเตือนสติพี่ | กระนั้นแต่งองค์ไปทำไมมี | ให้เป็นที่กังขาประชาชน |
เราปลอมแปลงแต่งกายเป็นชายไพร่ | เหมือนยากไร้แรมทางมากลางหน | สองกษัตริย์ตรัสคิดเห็นชอบกล | จึงปลดเปลื้องเครื่องต้นออกจากกาย |
เอาภูษาผ้าห่มห่อกระหวัด | แล้วคาดรัดเอวไว้มิให้หาย | ศรีสุวรรณนั้นคุมกระบองกราย | พระพี่ชายถือปี่แล้วลีลา |
ค่อนดั้นเดินเนินพนมพนาเวศ | สีขเรศห้วยธารละหานผา | ครั้นค่ำค้างกลางวันก็ไคลคลา | กินผลาผลไม้ในดงดอน |
แต่เดินทางกลางเถื่อนได้เดือนเศษ | ออกพ้นเขตเขาไม้ไพรสิงขร | ถึงเนินทรายชายทะเลชโลธร | ในสาครคลื่นลั่นสนั่นดัง |
ค่อยย่างเหยียบเลียบริมทะเลลึก | ถึงร่มพฤกษาไทรดังใจหวัง | ทั้งสองราล้าเลื่อยเหนื่อยกำลัง | ลงหยุดนั่งนอนเล่นเย็นสบาย ฯ |
จะจับบทบุตรพราหมณ์สามมาณพ | ได้มาพบคบกันเล่นเป็นสหาย | คนหนึ่งชื่อโมราปรีชาชาย | มีแยบคายชำนาญในการกล |
เอาฟางหญ้ามาผูกสำเภาได้ | แล้วแล่นไปในจังหวัดไม่ขัดสน | คนหนึ่งมีวิชาชื่อสานน | ร้องเรียกฝนลมได้ดังใจจง |
คนหนึ่งนั้นมีนามพราหมณ์วิเชียร | เที่ยวร่ำเรียนสงครามตามประสงค์ | ถือธนูสู้ศึกนึกทะนง | หมายจะปลงชีวาปัจจามิตร |
ธนูนั้นลั่นทีละเจ็ดลูก | หมายให้ถูกที่ตรงไหนก็ไม่ผิด | ล้วนแรกรุ่นร่วมรู้คู่ชีวิต | เคยไปเล่นเป็นนิจที่เนินทราย |
พอแดดร่มลมตกลงชายเขา | ขึ้นสำเภายนต์ใหญ่ดังใจหมาย | ออกจากบ้านอ่านมนต์เรียกพระพาย | แสนสบายบุกป่ามาบนดิน |
ถึงทะเลเล่นตรงลงในน้ำ | เที่ยงลอยลำเล่นมหาชลาสินธุ์ | มาใกล้ไทรสาขาริมวาริน | ก็ได้ยินสุรเสียงสำเนียงคน |
End of preview. Expand
in Dataset Viewer.
README.md exists but content is empty.
Use the Edit dataset card button to edit it.
- Downloads last month
- 33